วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

สามก๊ก ตอน กวนอูไปรับราชการโจโฉ (ย่อ)

โจโฉยังแค้นเล่าปี่และม้าเท้งอยู่ เมื่อครั้งที่เคยลงชื่อกำจัดตนร่วมกับขุนนางคนอื่น แต่ด้วยเมืองเสเหลียงมีกำลังทหารแข็งแกร่งยากแก่การปราบปราบโดยง่าย ดังนั้นโจโฉจึงยกทัพไปตีเมืองชีจิ๋วของเล่าปี่แทนเล่าปี่กับเตียวหุยอยู่เมืองเสียวพ่าย เมื่อทราบข่าวโจโฉยกมาบุก นำกำลังออกไปรบแต่ปรากฏว่าแตกทัพ เล่าปี่หนีไปหาอ้วนเสี้ยว ฝ่ายเตียวหุยนำทหารที่เหลือตีฝ่าออกมาเมื่อครั้งรวมกำลัง 17 หัวเมืองต่อสู้ตั๋งโต๊ะ กวนอูได้แสดงฝีมือเอาชนะนายทัพคนหนึ่ง(ฮัว- หยง) โจโฉรู้สึกพอใจกวนอูเป็นอันมาก ครานี้มีโอกาส สั่งเตียวเลี้ยวไปเกลี่ยกล่อมกวนอู(ใช้อุบายล่อกวนอูออกมาและยึดเมืองแห้ฝือ) กวนอูตรึกตรองผลดี-เสีย ที่เตี้ยวเลี้ยวชี้แจง เห็นว่ามีเหตุผล แต่ขอคำสัญญาไว้สามประการ๑.ขอเป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้๒.ขออยู่ดูแลพี่สะใภ้๓.เมื่อรู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ใดจะไปหาทันทีฝ่ายโจโฉลังเลแต่สุดท้ายยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดโจโฉทำนุบำรุงดูแลกวนอูไม่ได้ขาด ให้ทั้งเงินทอง เสื้อผ้า ม้า(เซ๊กเธาว์) ฯลฯ แต่กวนอูคงแสดงความซื่อสัตย์ที่ตนมีต่อเล่าปี่เสมอที่ปรึกษาคนหนึ่งชื่อซุนฮกออกอุบาย ด้วยกวนอูเป็นผู้รู้คุณคน ต้องตอบแทนน้ำใจก่อนจากไปเป็นแน่ เช่นนั้นหากมีกิจอันใดจงอย่าให้กวนอูอาสาครั้งหนึ่งอ้วนเสี้ยวยกทัพไปตีโจโฉที่ฮูโต๋ เล่าปี่มาด้วย กวนอูขออาสาออกรบ โจโฉไม่ยินยอม แต่เมื่อแม่ทัพฝ่ายตนพ่ายแพ้ กวนอูจึงออกไป ฆ่างันเหลียง และบุนทิวตายอ้วนเสี้ยวรู้ว่ากวนอูเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเล่าปี่ก็โกรธ แต่เล่าปี่อธิบายเหตุผลจนอ้วนเสี้ยวเปลี่ยนใจต่อมาเกิดโจรร้ายที่เมืองยีหลำ กวนอูอาสาไปปราบ และได้พบกับซุนเขียนคนสนิทของเล่าปี่ ซุนเขียนเล่าว่าเมื่อเล่าปี่แตกทัพ ได้ไปอยู่อาศัยกับอ้วนเสี้ยวที่กิจิ๋วเมื่อเสร็จกิจกลับไปหาโจโฉเพื่อบอกลา แต่โจโฉแสร้างเป็นป่วย กวนอูเขียนจดหมายอำลา ก่อนพาพี่สะใภ้ทั้งสองเดินทางไปหาเล่าปี่ นายด่านหลายคนไม่ทราบ ขัดขวางกวนอู กวนอูจำต้องสังหารทหารและนายทัพไปจำนวนหนึ่งฝ่ายเตียวหุยอยู่เมืองเก๋าเซีย กวนอูทราบข่าวก็ยินดีเป็นอันมาก ในตอนแรกเตียวหุยเข้าใจผิดคิดว่ากวนอูเข้าด้วยกับโจโฉ แต่เมื่อรู้ความจริงจึงยกทหารไปต้อนรับเล่าปี่คราดกับกวนอูไป-มาหอยู่หลายครั้ง เมื่อรู้ว่าอยู่เมืองเก๋าเซีย ออกอุบายบอกแก่อ้วนเสี้ยวจะไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วมาเป็นพวก แต่แท้จริงกลับเดินทางไปกวนอูแต่เมืองเก๋าเซียเป็นเมืองจัตวา ไม่เหมาะเป็นที่ตั้งมัน ทั้งหมดจึงพากันไปอยู่เมืองยีหลำ



ที่มา:http://jeepy--jeep.blogspot.com/2007/10/blog-post_06.html

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กระเป๋ารูปแปลกๆ















































ที่มา:http://www.fwdder.com/topic/27946








เลือกสีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด


รู้หรือเปล่า? แค่เลือกสีกระเป๋าสตางค์ให้ถูกกับวันเกิด ก็สามารถทำให้คุณรวยได้นะ

คนเกิดวันอาทิตย์ คุณไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์สีฟ้า สีดำ หรือกระเป๋าที่ทำมาจากหนังของสัตว์ทะเลค่ะ ส่วนสีที่คุณควรใช้คือ สีในโทนส่วาง หรือจะเป็นสีน้ำตาลหรือสีเขียว อันนี้ก็โอเคค่ะ
คนเกิดวันจันทร์ กระเป๋าสตางค์สีแดงหรือกระเป๋าสตางค์ที่ทำมาหนังสัตว์ 2 แบบนี้คุณควรหลีกเลี่ยงไปเลยค่ะ ส่วนสีที่เหมาะกับคุณมากที่สุดก็คือ สีน้ำตาลหรือสีม่วง
คนเกิดวันอังคาร สีน้ำตาลและสีครีม 2 สีนี้เป็นสีที่ไม่เหมาะกับคนเกิดวันอังคารเลยค่ะ และอีกอย่างที่ต้องห้ามก็คือ กระเป๋าที่ทำมาจากหนังสัตว์ ส่วนสีที่ถูกโฉลกกับคุณก็คือ สีชมพู สีแสด และสีส้ม 3 สีนี้ก็คงจะถูกใจสาวๆ นะคะ
คนเกิดวันพุธ สำหรับคนเกิดวันพุธก็มีสีต้องห้ามอยู่ 2 สีคือ ดำและชมพู และไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์ที่ทำมาจากหนัง โดยเฉพาะสัตว์ปีก ส่วนสีของกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะกับคุณก็คือ สีเขียวครีมและน้ำตาลค่ะ
คนเกิดวันพฤหัสบดี สำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดีมีสีต้องห้ามอยู่สีเดียวคือ สีดำ และขนาดของกระเป๋าจะต้องไม่ใหญ่เกินไป เลือกชนิดมีช่องใส่พอประมาณค่ะ ส่วนสีที่เหมาะก็คือสีแดงหรือส้ม
คนเกิดวันศุกร์ สีของกระเป๋าสตางค์ที่ต้องห้ามสำหรับคนเกิดวันศุกร์ก็คือ สีดำ หรือสีทึมไม่สดใส แล้วก็ไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์ที่ดูแปลกจนเกินไป เพราะจะทำให้คุณเก็บเงินไม่อยู่นะคะ ส่วนสีที่ควรใช้ก็คือ สีฟ้าและสีชมพู
คนเกิดวันเสาร์ คุณไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์สีเขียวหรือน้ำตาล และต้องพยามยามเลือกแบบที่ไม่เก่าเร็ว ต้องแลดูใหม่อยู่เสมอ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คนเกิดวันเสาร์ต้องซื้อกระเป๋าสตางค์บ่อยกว่าคนกิดวันอื่น เราะถ้าคุณปล่อยกระเป๋าสตางค์ของคุณเก่าขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ เมื่อนั้นจะทำให้ไม่มีโชคลาภค่ะ ส่วนสีที่เหมาะกับคุณก็คือสีฟ้าหรือสีม่วงค่ะ

กระเป๋า การเลือกซื้อ เลือกกระเป๋าทำงานให้เก๋ เสริมบุคลิกและดีต่อสุขภาพ



สาวผอม สูงเก้งก้าง
คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าคนผอมสูงจะแต่งตัวแบบไหนหรือใช้กระเป๋าแบบใดก็ดูจะเหมาะเจาะ แต่ช้าก่อน ลองนึกภาพสาวผอมแถมสูงเก้งก้างกับกระเป๋ารูปทรงยาวเรียวคล้ายไม้ซีกถือไม้จิ้มฟันบ้างหรือเปล่า ถ้าคุณรูปร่างเข้าข่ายนี้ เราขอแนะนำกระเป๋าขนาดใหญ่ปานกลางทรงกว้างประเภท Tote หรือ Hobo ยิ่งถ้าเป็นกระเป๋าที่ทำจากหนังนิ่มๆ ไม่เน้นรูปทรงมากนัก จะยิ่งเสริมลุคให้ดูเป็นสาวมั่นมีสไตล์
เมื่อเลือกกระเป๋าทรงสวยได้แล้ว อย่าลืมใส่ใจกับน้ำหนักสัมภาระด้วย ที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง แนะนำว่า
สาวๆออฟฟิศที่ต้องสะพายกระเป๋าเป็นประจำทุกวัน The American Chiropractic Associationควรจำกัดของในกระเป๋าให้มีน้ำหนักไม่เกิน 10 เปอร์เซนต์ของน้ำหนักตัว
เช่น หากคุณน้ำหนัก 50 กิโลกรัม น้ำหนักมวลรวมของกระเป๋าสะพายไม่ควรเกิน 5 กิโลกรัม ทั้งนี้เพื่อสุขภาพของกระดูกไขสันหลัง และกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ ต้นคอ และหลัง
แต่ถ้าหากมีสัมภาระเยอะจริงๆ ควรมีกระเป๋าสำรองไว้ถ่ายของ เพื่อไม่ให้ไหล่ต้องรับบทหนักจนเกินไป

กระเป๋า การเลือกซื้อ เลือกกระเป๋าทำงานให้เก๋ เสริมบุคลิกและดีต่อสุขภาพ


สาวเอวหนา สะโพกใหญ่ หรือมีหน้าท้อง
ทรวดทรงตรงข้ามกับสาวอกใหญ่ ไหล่กว้างโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นกระเป๋าที่เหมาะกับรูปร่างนี้ก็ควรเป็นกระเป๋าสายสั้นแบบเก๋มีดีไซน์ ที่จะช่วยดึงสายตาจากจุดบกพร่องของรูปร่างช่วงกลางลำตัว ขอแนะนำว่า ทรง Baguette หรือทรง Pouch แบบหนังนิ่ม ซึ่งจุของได้เยอะและลงทุนครั้งเดียวใช้ได้นานเลย

กระเป๋า การเลือกซื้อ เลือกกระเป๋าทำงานให้เก๋ เสริมบุคลิกและดีต่อสุขภาพ


สาวไซส์มินิ
กระเป๋าทรงยาวและแคบหรือกระเป๋าใบย่อมจะช่วยสร้างความสูงสง่าแบบเสกได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า อย่าเผลอเลือกสะพายกระเป๋าแบบโอเวอร์ไซส์หรือกระเป๋าทรงกว้างเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากดูเตี้ยลงไปกว่าเดิม สำหรับสาวไซส์มินิที่มีข้าวของเยอะ ลองเลือกกระเป๋าทรง Tote ไซส์กลางก็จุของได้เพียบ และไม่ลดสเกลความสูงของคุณอีกด้วย
ที่มา:http://www.visavivamarts.com/store/article/view-th.html

กระเป๋า การเลือกซื้อ เลือกกระเป๋าทำงานให้เก๋ เสริมบุคลิกและดีต่อสุขภาพ


สาวอกใหญ่ ไหล่กว้าง
ควรหลีกเลี่ยงกระเป๋าทำงานที่มีสายสะพายสั้น เพราะจะยิ่งเน้นช่วงบนให้ดูตันหนา ทางที่ดีลองเปลี่ยนมาเลือกใช้กระเป๋าสะพายสายยาวระดับเอวอย่าง Shoulder Bag หรือ Messenger Bag แบบสาวเท่ไปเลย นอกจากจะช่วยพรางให้รูปร่างช่วงบนดูโปร่งขึ้นแล้ว ยังเสริมลุคแบบมืออาชีพด้วย
ที่มา:http://www.visavivamarts.com/store/article/view-th.html

กระเป๋า การเลือกซื้อ เลือกกระเป๋าทำงานให้เก๋ เสริมบุคลิกและดีต่อสุขภาพ


สาวโครงร่างใหญ่

สาวตัวโตกระดูกใหญ่ที่ยังพิสมัยกระเป๋าใบเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มฟังทางนี้ด่วน! ยิ่งคุณเลือกใช้กระเป๋าใบเล็กที่ขัดกับรูปร่างไซส์ L อัพมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้คุณดูตัวใหญ่มากกว่าความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ลองกลับใจมาใช้กระเป๋าขนาดโอเวอร์ไซส์ทรงไหนก็ได้ที่คุณชื่นชอบ เพื่อความสมดุลระหว่างรูปร่างกับกระเป๋าดีกว่านะ

ที่มา:http://www.visavivamarts.com/store/article/vie-th.html

กระเป๋าสะพาย


กระเป๋าถือแฟชั่น สีเทา พร้อมส่ง แบบฮิต ถือ คล้องไหล่ หรือสะพายข้างก็ได้ น่าใช้มั๊กมาก
380.00 ฿ จากราคา 780.00 ฿
ที่มา:http://www.visavivamarts.com/

กระเป๋าสะพาย


กระเป๋าคล้องไหล่แฟชั่น พร้อมส่ง แบบฮิตเกาหลี หนังสีดำสวยเฟริ์มอย่างดี ถือ และคล้องไหล่ได้ น่าใช้เลยคะ
850.00 ฿ จากราคา 2300.00 ฿
ที่มา:http://www.visavivamarts.com/

กระเป๋าสตางค์


กระเป๋าเงิน พร้อมส่ง สีเบจ ลายแม๊กกาซีน ตกแต่งหมีน้อย ใบยาว ไอเท็มฮิต น่าใช้มั๊กมาก
255.00 ฿ จากราคา 520.00 ฿
ที่มา:http://www.visavivamarts.com/

กระเป๋าสตางค์


กระเป๋าเงิน กระต่ายน้อย Metoo ใบกลาง สีชมพู ไอเท็มฮิต น่ารักมั๊กมากคะ
255.00 ฿ จากราคา 550.00 ฿
ที่มา:http://www.visavivamarts.com/

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กระเป๋าสะพายไหล่


Iranian Love letters กระเป๋าลายอักษรสบายตา
225.00




ที่มา:http://kapaoinlove.ibuy.co.th/shop/product_group/กระเป๋าสะพายไหล่/

กระเป๋าสะพายไหล่


Dumplings กระเป๋าถือลายหนังจรเข้
1,100.00
ที่มา:http://kapaoinlove.ibuy.co.th/shop/product_group/กระเป๋าสะพายไหล่/

กระเป๋าสะพายไหล่


กระเป๋าแฟชั่นสะพายทรงสวยเก๋แบบลงตัว
440.00
ทีมา:http://kapaoinlove.ibuy.co.th/shop/product_group/กระเป๋าสะพายไหล่/

กระเป๋าสะพายไหล่



กระเป๋าหนังทรงกระเป๋าใส่กล้อง ประดับพวงกุญแจน่ารัก
240.00
ที่มา:http://kapaoinlove.ibuy.co.th/shop/product_group/กระเป๋าสะพายไหล่/

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Spring style: Anya Hindmarch 'Junie' tote


Ready to embrace the call of the sea once again this summer? You better be - nautical chic is back in style again, but it's a little more subtle this time around: a bit of rope here, and flash of red and white there. Not so heavy on the bandanas and the anchors this time (phew).
The Junie bag from Anya Hindmarch embodies this year's nautical looks perfectly: it's got the white and blue colour scheme going on as well as the rope handle reference. But apart from that it's just a pretty and very summery bag, that will look great with the season's bleached out whites.

ที่มา:http://www.thebaglady.tv/

Radley offers charity discount for old bags


Radley has really upped its game recently, churning out so many interesting new designs that we're having to hold back from featuring new styles every day. Yup, we've been hugely impressed with this season's collection, but if you'd like to pay a little less for your purchases, you might be interested to hear that the quintessentially English brand has just launched an ingenious charity campaign. Working in conjunction with the British Heart Foundation, Radley will now give you discounts in exchange for your cast-offs.
So how does it work? First, you need to find an unwanted bag and donate it to the BHF: you can do this either by taking it to one of their
stores or alternatively to a Radley store. Now you've done your bit, it's time to go shopping! All bags marked with a heart on the side and are included in the offer, and to redeem the discount, you just need to type the discount code BHFHEART30 at the checkout, and the discount will be applied. Donation is on a goodwill basis, so if your heart is in the right place, Radley trust that you will be sure to give one of your old bags in return!
A few of our favourites


ที่มา:http://www.thebaglady.tv/

Red Nose Day Chic from Liberty at TK Maxx!


Comic Relief mania kicked off up and down the country today, as many of us start to think about how we can 'do something funny for money' between now and Red Nose Day - 18th March.
I'm happy to say that the fashion world has responded with imagination and enthusiasm, much of it coming from the quarters of Dame Vivienne Westwood, who has teamed up with TK Maxx to design a series of limited edition t-shirts, amusingly and stylishly decorated with bright red noses.
But best of all, to our minds, this cute shopping tote bag with an original print by Liberty has also hit the shelves, at the bargainous price of £12.99. Look closely at the image and you'll see that the classic print actually incorporates hundreds of tiny red noses, which look like berries when viewed from afar!


ที่มา:http://www.thebaglady.tv/

Yves Saint Laurent 'Multy' in beige


We make no secret of being fans of the hobo here at The Bag Lady: what's not to like about a style that's both slouchy and smart - that carries everything you need and then some, and has been embraced by all of our favourite designers?
YSL's 'Multy' is one of the finest examples of the hobo style currently available out there, and it looks particularly handsome made up in this pale beige colour. A bag like this would see you through spring and summer with ease, and its comfy, butter soft leather makes it a dream to carry, too.
Wear this with the coming season's sheer blouses, high-waisted trousers and platform wedges for the best possible results!


วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Reiss Bleecker handheld lock shoulder bag

Reiss have some real treats on offer in their new collection for spring 2011, and the Bleecker bag (whether in black leather or tan) really stands out. Its fake lock charm is a particularly attractive detail, and one that really needs to be seen 'in the flesh' for full appreciation of the effect, which is very designer-led and chic.
If you're looking to spend some money on a really classy mid-range bag that will last in terms of both material longevity and styling, this is certainly worth bearing in mind: it's the type of accessory that will lend a note of quality to whatever else you

ที่มา:http://www.thebaglady.tv/

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

26 วิธีโรแมนติกแบบง่าย ๆ สบายกระเป๋า


26 วิธีโรแมนติกแบบง่าย ๆ สบายกระเป๋า (modernmom)โดย: Amygdala

แม้ว่าในยุคสมัยที่เรื่องการจับจ่ายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ครอบครัวไหนต่างก็ต้องใส่ใจ เพราะเศรษฐกิจที่ไม่คงเส้นคงวา ทำให้เราเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดเรื่องไหน ก็ไม่อยากให้ละเลยความใส่ใจที่มีต่อกัน นี่จึงเป็นที่มาของวิธีหวาน ๆ ให้คุณและสามีได้ใกล้ชิดกันแบบไม่สิ้นเปลืองไงคะ
1.ทำอาหารด้วยกัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ได้เมนูปรุงด้วยรักสุดพิเศษ
2.ลงแช่ในอ่างอาบน้ำ ท่ามกลางแสงเทียน กับกลิ่นหอมแบบอโรมา
3.ซ่อนกระดาษโน้ตที่มีข้อความน่ารัก ๆ ไว้ที่กระเป๋าสตางค์ของคนรัก
4.สวนสาธารณะบรรยากาศดีมีอยู่ทั่วเมือง จูงมือกันไปออกกำลังกาย ก็โรแมนติกแบบง่าย ๆ ได้เหมือนกัน
5.ปิกนิกที่สวนหลังบ้าน ท่ามกลางแสงแดดยามเย็น
6.sms สื่อความรู้สึก ลึกซึ้ง ห่วงใย หวานเข้ากับยุคสมัย
7.บอกรักด้วยวิธีที่ต่างกันไป ในแต่ละวัน
8.พากันไปในที่ที่คุณและสามีเคยไปเดตกัน ย้อนรำลึกความหลังครั้งเก่า
9.สรรหาเพลงรักดี ๆ ที่คุณและสามีชื่นชอบมานั่งฟังด้วยกัน
10.ตื่นเช้าทำบุญตักบาตรร่วมกัน โรแมนติกแบบไทย ๆ แถมได้บุญ
11.ผลัดกันนวดเนื้อตัวด้วย Body Massage สุขแบบผ่อนคลาย
12.ยืดเวลาตื่นเช้าให้ยาวออกไป ด้วยการนอนกอดกันช่วงวันหยุด
13.ดูหนังรักน่ารัก ๆ เพิ่มความสดใสให้ชีวิตคู่ได้ดีไม่น้อย
14.อิงแอบแนบชิดบนโซฟาตัวโปรด ในวันที่อากาศเป็นใจ
15.สร้างเซอร์ไพร์ส ด้วยการทำอะไรที่ไม่เคย
16.ส่งดอกไม้ วิธีอมตะที่ใช้กันมานาน แต่ได้ผลดีและได้ใจผู้รับเสมอ ส่งดอกไม้ถ้าผ่านร้านแบบดิลิเวอรี่ต้องเสียตังค์เพิ่ม เปลี่ยนเป็น ตัดดอกไม้สวย ๆ ที่มีในบ้าน มาปักแจกันทั้งในห้องน้ำ ห้องรับแขก ไม่เว้นแม้กระทั่งในห้องนอน ดีกว่าไหมคะ
17.นั่งจิบชายามบ่าย พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน
18.ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน กิจกรรมง่าย ๆ แต่เติมความสัมพันธ์ได้ดี
19.แข่งขันกันเล่นเกมสนุก ๆ อย่างบิงโก เพิ่มความกุ๊กกิ๊กให้ชีวิตคู่บ้าง
20.เปลี่ยนพื้นที่ว่างในบ้านเป็นฟลอร์ เปิดเพลงช้า แล้วเต้นรำไปตามจังหวะที่กินใจ
21.สนุกกับการเปลี่ยนบุคลิกด้วยเครื่องแต่งกายที่ต่างไปจากเดิม เพิ่มความตื่นเต้น เติมความเซ็กซี่เล็ก ๆ ให้ความสัมพันธ์
22.เขียนความประทับใจที่ต่างฝ่ายมีต่อกัน มอบให้กัน เพื่อยืนยันความรู้สึกที่มั่นคง
23.จับมือเดินเคียงกันทุกครั้งที่มีโอกาส ถ้าไม่ได้ไปไหน เส้นทางเดินเล็ก ๆ ในหมู่บ้านก็ไม่เลวค่ะ
24.หมั่นพูดคำหวานต่อกันเสมอ นอกจากฟังรื่นหูแล้ว ชีวิตยังรื่นรมย์มากขึ้นด้วย
25.หาแบบทดสอบมาลองทายใจกันดู คุณทั้งคู่รู้ใจกันมากแค่ไหนนะ
26.ปลูกผักสวนครัวแปลงเล็ก ๆ ที่สวนหลังบ้าน สวีตกันได้แบบไร้สารพิษ
หลากวิธีเติมความหวานเหล่านี้ อาจปฏิบัติได้ยามลูกหลับ หรือฝากลูกไว้กับคนใกล้ชิดในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้คุณทั้งคู่มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง ถึงลูกเล็กก็ใกล้ชิดกันได้แบบง่ายๆ แถมสบายกระเป๋าอีกด้วย


ของขวัญวันวาเลนไทน์

กุหลาบ

จะกี่ยุคกี่สมัย "ดอกกุหลาบ" ก็ยังครองแชมป์ของขวัญยอดฮิตวันวาเลนไทน์ โดยเฉพาะ "กุหลาบสีแดง" สาวคนไหนได้รับ มีแต่จะยิ้มแก้มปริ และยอมเปิดหัวใจให้หนุ่มๆ เข้ามานอนกลิ้งเกลือกไม่โยเย!! ถ้าเป็นหนุ่มจริงใจ...รักจริงหวังแต่ง ไม่เจ้าชู้ มักจะเลือก "กุหลาบสีขาว" แทนคำบอกรัก สื่อถึงความบริสุทธิ์และจริงใจสุดๆ ถ้ามีหนุ่มคนไหนให้ "กุหลาบสีชมพู" แปลว่า เขากำลังหัวใจพองโต มองเห็นอะไรเป็นสีชมพูไปหมด แต่ถ้าได้ "กุหลาบสีเหลือง" วันวาเลนไทน์ ก็ไม่ต้องงงนะคะ หนุ่มคนนั้นแค่อยากบอกว่า คุยกับคุณถูกคอจัง อยากสานต่อ เผื่อจะคลิกเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นแฟน แต่ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบสีอะไร ถ้าเขาให้ กุหลาบตูม แก่คุณนั่นหมายความว่าความรักกำลังเริ่มต้นเหมือน ความเยาว์วัยของหนุ่มๆ สาวๆ แต่ถ้าให้ดอกกุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
ดอกไม้อื่นๆ ดอกไม้อื่นๆ ที่นิยมให้คนรักนอกจากดอกกุหลาบ แล้ว ก็มีดอกคาร์เนชั่น ดอกลิลลี่ ดอกทิวลิป ดอกไวโอเล็ต ซึ่งความหมายของการให้ดอกไม้เหล่านี้ คือ ถ้าให้ …. ดอกคาร์เนชั่นสีแดง หมายถึง รักอย่างสุดซึ้ง ดอกลิลลี่สีขาว หมายถึง ความโรแมนติก อ่อนหวานระหว่างคุณและคนรัก ดอกทิวลิปสีแดง หมายถึง ความรักที่จะร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน ดอกไวโอเล็ต ที่แทนความหมายของการให้รักตอบแทน

ช็อกโกแลต
นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า ช็อกโกแลตเป็นตัวช่วยเสริมอารมณ์รัก และรสชาติความหวานก็เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกวันแห่งความรักได้อย่างดี และยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าในช็อกโกแลตมีสารช่วยกระตุ้นสมองโดยออกฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน เป็นตัวเบิกทางความรู้สึกลึก ๆ แห่งรักได้ดี
อย่างไรก็ตาม การให้ช็อกโกแลตก็สามารถบ่งบอกนิสัยใจคอผู้ให้ได้ด้วย ถ้าให้... "ช็อกโกแลตมินต์" แสดงว่า เป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา และมีความคิดสร้างสรรค์ "ช็อกโกแลตนม" เป็นคนโรแมนติก คุยสนุก แต่ชอบทำตัวเด่น "ช็อกโกแลตสอดไส้" เป็นคนปาร์ตี้ ชอบสังคม ใจดี "ดาร์ค ช็อกโกแลต" หมายความว่า คุณเจอคนใจร้อนเข้าแล้ว ประเภทรักง่ายติดไฟเร็วซะงั้น
จิวเวลรี่

ไม่ว่าสาวคนไหนก็หลอมละลายทั้งนั้น ถ้ามีหนุ่มมาซื้อเพชร หรือจิวเวลรี่ให้เป็นของขวัญวาเลนไทน์ เพราะจะมีใครกล้าทุ่มทุนสร้างขนาดนี้ ถ้าไม่ได้รักจริงหวังแต่ง (ไม่นับพวกเสี่ยบุญทุ่ม)!! หนุ่มคนไหนกำลังมองหาของขวัญล้ำค่าประกายระยิบระยับแทนคำบอกรัก ขอแนะนำให้เลือกเครื่องประดับเพชร หรือมุก เพราะสื่อถึงความอมตะ บริสุทธิ์ และรักนิรันดร์...ความหมายโดนใจมั่กๆ … และถ้ามีสลักคำว่า LOVE บนจิวเวลลี่ยิ่งโดนสุดๆ ...ว้าวๆๆ!!


การ์ด
อันนี้เป็นของจําเป็นควบคู่ไปกับดอกไม้ และช็อกโกแลต เลือกตามแบบที่ชอบ เขียนความในใจตามแบบที่อยากให้คนที่ได้รับอ่านแล้วเข้าใจในทันที แถมหาซื้อไม่ยากด้วย

ตุ๊กตา

เป็นสิ่งที่ให้กันได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่พิเศษสําหรับวันแห่งความรักคงต้องเลือกสรรให้น่ารัก น่าประทับใจแทนความหมายได้ทุกอารมณ์แล้วแต่คุณจะหยิบแบบไหน




เทียนหอม
มาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย ที่สื่อได้ทั้งความหมายจากรูปทรงหัวใจ และให้กลิ่นหอมชวนหลงใหลตามแต่ใครจะเลือกได้ถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน



Valentine’s Day History

ในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ (วันวาเลนไทน์) เราได้แนะนำข้อมูล เกี่ยวกับ วันวาเลนไทน์ภาษาอังกฤษ ให้เพื่อนได้รับทราบข้อมูลประวัติวันวาเลนไทน์ ภาษาอังกฤษ ซึ่ง วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักทำไมจึงต้องเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นคำถามที่น่าสงสัยใช่ไหม มีเกร็ดความรู้เรื่อง วันวาเลนไทน์ มาฝากติดตามชมได้เลย วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญเซนต์ วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแต่ เขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ในจักรวรรดิโรมัน ซึ่งประวัติวาเลนไทน์ อังกฤษได้รวบรวมมาจากเพื่อนสมาชิก ดังนี้

Valentine’s Day is the annual holiday honoring lovers. It is celebrated on February 14 by the custom of sending greeting cards or gifts to express affection. The cards, known as valentines, are often designed with hearts to symbolize love. Every February, across the country, candy, flowers, and gifts are exchanged between loved ones, all in the name of St. Valentine. But who is this mysterious saint and why do we celebrate this holiday? The history of Valentine’s Day — and its patron saint — is shrouded in mystery.
The history of Valentine’s Day is obscure, and further clouded by various fanciful legends. St. Valentine’s Day, as we know it today, contains vestiges of both Christian and ancient Roman tradition. Its roots are obscured by mystery and there are varying opinions about it. Its origins have become themes of many legends.
According to legend, the holiday has its roots in the ancient Roman festival of Lupercalis/Lupercalia, a fertility celebration commemorated annually on February 15. As Christianity came to dominance in Europe, pagan holidays such as Lupercalia were frequently renamed for early Christian martyrs. In 496 AD, Pope Gelasius recast this pagan festival as a Christian feast day circa 496, declaring February 14 to be the feast day of the Roman martyr Saint Valentine, who lived in the 3rd century.
Which St. Valentine this early pope intended to honor remains a mystery. According to the Catholic Encyclopedia, there were at least three early Christian saints by that name. One was a priest in Rome, another a bishop in Terni, and of a third St. Valentine almost nothing is known except that he met his end in Africa. Rather astonishingly, all three Valentines were said to have been martyred on Feb. 14.
Most scholars believe that the St. Valentine of the holiday was a priest who attracted the disfavor of Roman emperor Claudius II around 270. The history of St. Valentine’s Day has two legends attached to it – the Protestant and the Catholic legend. According to both legends, Valentine was a bishop who held secret marriage ceremonies of soldiers in opposition to Claudius II who had prohibited marriage for young men and was executed by the latter. Although many scholars agree that Lupercalia was moved from Feb. 15th to the 14th and was Christianized by associating it with this St. Valentine character, it is still unclear just who the historical St. Valentine was. One school of thought believes that he was a Roman martyred for refusing to give up his Christian faith. According to church tradition St. Valentine was a priest/bishop of Rome in about the year 270 A.D.
At that time the Roman Emperor Claudius-II who had issued an edict forbidding marriage. This was around when the heyday of Roman empire had almost come to an end. Lack of quality administrators led to frequent civil strife. Learning declined, taxation increased, and trade slumped to a low, precarious level. And the Gauls, Slavs, Huns, Turks and Mongolians from Northern Europe and Asian increased their pressure on the empire’s boundaries. The empire was grown too large to be shielded from external aggression and internal chaos with existing forces. Thus more of capable men were required to be recruited as soldiers and officers. When Claudius became the emperor, he felt that married men were more emotionally attached to their families, and thus, will not make good soldiers. He believed it made the men weak. So to assure quality soldiers, he banned marriage.
Valentine, realized the injustice of the decree. Seeing the trauma of young lovers, he met them in a secret place, and joined them in the sacrament of matrimony. He defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret. But Claudius soon learned of this "friend of lovers," and had him arrested.
While Valentine was in prison awaiting his fate, he came in contact with his jailor, Asterius. The jailor had a blind daughter. Asterius requested him to heal his daughter. The Catholic legend has it that through the vehicle of his strong faith he miraculously restored the sight of Asterius’ daughter, a phenomenon refuted by the Protestant version which agrees otherwise with the Catholic one. Just before his execution, he asked for a pen and paper from his jailor, and signed a farewell message to her "From Your Valentine," a phrase that lived ever after. Another legend has it that Valentine, imprisoned by Claudius, fell in love with the daughter of his jailer. However, this legend is not given much importance by historians. Probably the most plausible story surrounding St. Valentine is one not focused on Eros (passionate love) but on agape (Christian love): he was martyred for refusing to renounce his religion.
The emperor, impressed with the young priest’s dignity and conviction, attempted to convert him to the Roman gods, to save him from certain execution. Valentine refused to recognize Roman Gods and even attempted to convert the emperor, knowing the consequences fully. What happened was what was to happen. All attempts to convert the emperor failed.
On February 14, 270 AD, Valentine was executed.Valentine thus become a Patron Saint, and spiritual overseer of an annual festival. The festival involved young Romans offering women they admired, and wished to court, handwritten greetings of affection on February 14. The greeting cards acquired St.Valentine’s name.
It was not until the 14th century that this Christian feast day became definitively associated with love. According to UCLA medieval scholar Henry Ansgar Kelly, author of Chaucer and the Cult of Saint Valentine, it was Chaucer who first linked St. Valentine’s Day with romance.
In 1381, Chaucer composed a poem in honor of the engagement between England’s Richard II and Anne of Bohemia. As was the poetic tradition, Chaucer associated the occasion with a feast day. In medieval France and England it was believed that birds mated on February 14, and the image of birds as the symbol of lovers began to appear in poems dedicated to the day. In Chaucer’s "The Parliament of Fowls," the royal engagement, the mating season of birds, and St. Valentine’s Day are linked:
"For this was on St. Valentine’s Day, When every fowl cometh there to choose his mate."
By the Middle Ages, Valentine was one of the most popular saints in England and France. Despite attempts by the Christian church to sanctify the holiday, the association of Valentine’s Day with romance and courtship continued through the Middle Ages. Over the centuries, the holiday evolved, and by the 18th century, gift-giving and exchanging hand-made cards on Valentine’s Day had become common in England. Hand-made valentine cards made of lace, ribbons, and featuring cupids and hearts eventually spread to the American colonies. The first commercial Valentine’s Day greeting cards produced in the U.S. were created in the 1840s by Esther A. Howlanda Mount Holyoke, a graduate and native of Worcester, Mass. Howland, known as the Mother of the Valentine, made elaborate creations with real lace, ribbons and colorful pictures known as "scrap". The tradition of Valentine’s cards did not become widespread in the United States, however, until Howland began producing them in large scale. Today, of course, the holiday has become a booming commercial success. According to the Greeting Card Association, 25% of all cards sent each year are valentines.The Valentine’s Day card spread with Christianity, and is now celebrated all over the world. One of the earliest card was sent in 1415 AD by Charles, duke of Orleans, to his wife while he was a prisoner in the Tower of London. The card is now preserved in the British Museum.
Whoever Valentine was, we know he was an actual person because archaeologists have recently unearthed a Roman catacomb and an ancient church dedicated to a Saint Valentine.

ที่มา:http://iblog.siamhrm.com/content/valentine-history/

วันวาเลนไทน์







ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวคริสต์ นั่นก็คือ วันวาเลนไทน์ นั่นเอง วันวาเลนไทน์ หรือ วันนักบุญวาเลนไทน์ หรือที่รู้จักกันว่า วันแห่งความรัก นั้น เป็นวันที่คู่รักจะบอกความในใจของกันและกัน อาจจะโดยการส่งการ์ด, มอบดอกไม้ หรือพากันไปท่องเที่ยวในสถานที่หวานแหววโรแมนติคสุดประทับใจ สำหรับในประเทศไทยเอง เทศกาลแห่งความรักนี้ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย ไม่ว่าจะในหมู่ชาวคริสต์ หรือชาวพุทธก็ตาม สำหรับประวัติวันวาเลนไทน์นั้น หลาย ๆ คนคงสงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เหตุเป็นเพราะวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้น เป็นวันเสียชีวิตของนักบุญวาเลนไทน์ หรือเซนต์วาเลนไทน์ นักบุญแห่งความรักนั่นเอง นักบุญวาเลนไทน์ เป็นผู้ริเริ่มการจัดงานแต่งงานในยุคที่ไม่นิยมให้แต่งงานกัน เหตุเพราะในช่วงนั้น โรม ต้องประสบกับสงคราม จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่มีบุคคลจำนวนมากที่มีครอบครัว มีภรรยา มีคนรัก ต่างไม่อยากจะทิ้งครอบครัวไป ทำให้ จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ตัดสินใจให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นไปหมด อย่างสิ้นเชิง แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และในคุกที่คุมขังนักบุญวาเลนไทน์นั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดนางหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ นักบุญวาเลนไทน์จึงถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็น วันวาเลนไทน์ วันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง
สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน ร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม) ตำนานความรักของ เทพเจ้าคิวปิด นั้น ในอดีต เทพเจ้าวีนัสอิจฉา "ไซกี" ธิดาวัยกำลังแรกรุ่นของกษัตริย์องค์หนึ่ง ที่สำคัญคือไซกีสวยกว่าเทพเจ้าวีนัสมาก นางเลยส่งเทพเจ้าคิวปิดไปหาไซกี เพื่อบันดาลให้ไซกีมีความรักกับบุรุษเพศ แต่เทพเจ้าคิวปิดกลับหลงรักไซกีและพามาที่วัง และลอบมาหาในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้ไซกีรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่มีคนยุให้ไซกีแอบดูตอนเทพเจ้าคิวปิดนอนหลับ แต่ด้วยความตื่นเต้นของไซกีที่เห็นเทพเจ้าคิวปิดเป็นหนุ่มรูปงาม เลยเผลอทำน้ำมันตะเกียงหกใส่เทพเจ้าคิวปิด เมื่อเทพเจ้าคิวปิดรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็โกรธมากที่นางขัดคำสั่ง จึงทิ้งนางไป เมื่อโดนทิ้ง ไซกีก็ออกตามหาเทพเจ้าคิวปิด ซึ่งตลอดเวลาไซกีถูกเทพเจ้าวีนัสกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จนเทพเจ้าคิวปิดเห็นใจต้องเข้ามาช่วย เทพเจ้าจูปิเตอร์เห็นใจ จึงช่วยให้ทั้งสองได้ครองรักกัน
ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันในวันวาเลนไทน์ หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า " Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine --- Two before and three behind. Good morning to you, Valentine." ในประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart) เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบ แล้วหย่อนไว้ในอ่างหรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อ เพื่อดูว่าใครจะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่ง สัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คนๆ นั้นต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ในบางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับเขา
บางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี ในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S) ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป บางธรรมเนียมในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหกชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ล ได้หมดพอดี ในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้






ตำนานดอกกุหลาบ



กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย
ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย
ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย
กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม
บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

ที่มา:http://www.panmai.com/Valentine/rose_legend.shtml