วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

อุปกรณ์เพื่อชำระเงินผ่านมาสเตอร์การ์ดเพย์พาส

เวียนนา ออสเตรีย่--5 มิ.ย.--พีอาร์นิวสไวร์/อินโฟเควสท์ LAKS ผู้ผลิตนาฬิกาจากประเทศออสเตรียที่เคยสร้างความฮือฮาอยู่บ่อยครั้งในอดีตกับสินค้านวัตกรรมของบริษัท ได้ทำการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อการทำธุรกรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด ในชื่อว่า LAKS SmartTransaction Watch (tm) ซึ่งเป็นนาฬิการุ่นแรกของโลกที่ติดตั้งด้วยระบบ Mastercard(r) PayPass(tm) วิธีการชำระเงินแบบใหม่ "โดยไร้การสัมผัส"เพื่อเป็นทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วแก่ผู้บริโภค แทนการใช้เงินสดในการจับจ่ายใช้สอยเล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน

ที่มา:http://www.ryt9.com/s/anpi/58479/

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

การเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่

การเปลี่ยนแปลงและการก้าวเดินของโลกใน ศตวรรษที่ 15 คือ มิได้ส่งผลกระทบต่อโลกในมิติใดมิติหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อ โลก ในระบบต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ศาสนาศิลปวัฒนธรรม, ระบบการเมืองและเศรษฐกิจ, สำนึกคิดของคนในยุคสมัยของความเป็นสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงอันบันดาลมีเหล่านี้ได้ทำให้โลกได้เกิด โลกทัศน์ทางความคิดสมัยใหม่ ภายใต้ศตวรรษที่ 15 คือ โลกทัศน์ของความเป็นสมัยใหม่
คำว่า สมัยใหม่ มิใช่เป็นคำพูดที่กล่าวขึ้นมาอย่างลอย ๆ หรือ ทึกทักกันเอาเอง หากแต่คำว่า สมัยใหม่ คำนี้ได้ก่อเกิดมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ มากมาย และที่สำคัญอาจจะกล่าวได้ว่า คำว่า สมัยใหม่ คือ วาทกรรมการสร้างโลกสมัยใหม่ ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่เราจะพบก็คือว่าจากการเปลี่ยนแปลงภายใต้วาทกรรมนี้ คือ การพยายามจัดสร้างกฎระเบียบใหม่ของโลก ( New World Order ) และ ภายใต้กฎระเบียบใหม่ได้สร้างโลกทั้งโลกให้เปลี่ยนไปจากเดิม เปลี่ยนจากยุคแห่งความมืด ไปสู่ยุคแห่งแสงสว่าง จนนำไปสู่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ กระทั้งเรื่อยมาสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม และในท้ายที่สุดนำไปสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยี

ที่มา: http://gotoknow.org/blog/sundayweekly/68053

ประเพณีไหลเรือไฟ

ประเพณีไหลเรือไฟ หรือ "ไหลเฮือไฟ" ในภาษาอีสานเป็นประเพณี ลอยกระทงตามแบบอีสานจะจัดในเทศกาลออกพรรษาของชาวจังหวัดทางภาคตะวันออก เฉียงเหนือโดยเฉพาะจังหวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงจะจัดขึ้นในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเทวโลก หลังจากที่พระพุทธองค์ ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงพระธรรมโปรดพระพุทธมารดาและ เป็นความเชื่อว่าถ้าจัดพิธีนี้ขึ้นก็จะเป็นการแสดงความคารวะต่อพระยานาคที่สถิตอยู่ตาม แม่น้ำใหญ่ให้คุ้มครองรักษาผู้สัญจรไปมาทางน้ำไม่ให้มีภัยอันตรายเกิดขึ้นโดยพิธีนี้จะจัด ขึ้นในแม่น้ำใหญ่ๆ เช่น แม่น้ำมูลแม่น้ำชีในจังหวัดเลยและในแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงคาน เป็นต้น

ที่มา: http://www.khonthai.com/Vitithai/custom.htm

ประเพณีงานบุญผะเหวด

ประเพณีงานบุญผะเหวด (พระเวส) หรือ "งานบุญเทศน์มหาชาติ" เป็นงานบุญที่สำคัญสำหรับชาวพุทธทั่วประเทศ ทั้งใน ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) และ ภาคใต้ จะจัดขึ้นในราวเดือน11 - 12 หลังออกพรรษาของทุกปีส่วนในภาคอีสาน งานบุญผะเหวดเป็นงานบุญที่สำคัญที่สุดในรอบปีของชาวอีสาน ซึ่งจัดขึ้นในเดือน 4 ของทุกปี(ประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน ) ตามจารีตประเพณีที่ทำสืบทอดกันมาแต่โบราณเชื่อกันว่า หากผู้ใดได้ฟังเทศน์ผะเหวด หรือเทศน์มหาชาติจบทั้ง 13 กัณฑ์ (มีกัณฑ์ทศพร,กัณฑ์หิมพานต์,กัณฑ์ทานกัณฑ์,กัณฑ์วนประเวศน์,กัณฑ์ชูชก,กัณฑ์จุลพน, กัณฑ์มหาพน, กัณฑ์กุมาร,กัณฑ์มัทรี,กัณฑ์สักกบรรพ,กัณฑ์มหาราช, กัณฑ์ฉกษัตรย์,
และนครกัณฑ์) ภายในวันเดียวและบำเพ็ญความดีผลบุญที่ผู้นั้นได้กระทำลงไป) จะส่งให้บุคคลนั้นได้ไปเกิดร่วมชาติเดียวกับพระพุทธเจ้า

ที่มา: http://www.khonthai.com/Vitithai/custom.htm

ประโยชน์ของผัก

ผักใบเขียวเข้ม เช่น ตำลึง ผักหวาน ผักบุ้ง คะน้า ผักสีเหลือง และสีส้ม เช่นฟักทองและแครอทจะเป็นแหล่งอาหารที่มีแคโรทีนสูง ซึ่งแคโรทีนนี้สามารถเปลี่ยน เป็นวิตามินเอได้ ซึ่งช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ต่อต้านโรคติดเชื้อระบบ ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร ทั้งยังช่วยป้องกันโรคตาบอดกลางคืนหรือโรค ตาฟางอีกด้วย สำหรับแคโรทีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบตาแคโรทีนที่ มีอยู่ในผักใบ เขียวเข้ม ผักสีเหลือง สีส้มดังกล่าวแล้วนั้น เชื่อกันว่า สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้ เช่นกัน นอกจากผักจะเป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอแล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินซีอีก ด้วย ซึ่งนอกจากจะป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน แล้วยังช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดได้ง่าย และขณะนี้พบว่า ทั้งเบตาแคโรทีนและวิตามินซี สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ ดังนั้นการบริโภคผักเป็นประจำจะมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับไขมันในเลือด และช่วยป้องกันโรคหัวใจ เนื่องจากเส้นเลือดอุดตันได้ นอกจากจะมีวิตามินดังกล่าวแล้ว ยังมีแร่ธาตุต่างๆ อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โพแทสเซียม แมกนีเซียม โซเดียม ซึ่งมีกลไก เกี่ยวข้องกับระดับไหลเวียนของโลหิตและการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบ ส่วนธาตุเหล็ก ที่มีในผักใบเขียวเข้มนั้นจะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และป้องกันโรคโลหิตจาง

ที่มา : http://202.44.68.33/node/2211

สะพานในกรุงเทพฯ ที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

สะพานในกรุงเทพฯ ที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เรียงตามเหนือน้ำ ไปยังท้ายน้ำ ได้แก่
1. สะพานพระราม 7
2. สะพานพระราม 6
3. สะพานกรุงธน
4. สะพานพระราม 8
5. สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า
6. สะพานพระพุทธยอดฟ้า
7. สะพานพระปกเกล้า
8. สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน
9. สะพานพระราม 3
10. สะพานกรุงเทพฯ
11. สะพานพระราม 9
12. สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม

ที่มา: http://www.lib.ru.ac.th/journal/goodthingofprovince.php

ผ้ากาบบัวเอกลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี

ผ้าลายกาบบัว
เอกลักษณ์ของผ้าลายพื้นเมืองที่ได้รับการกล่าวขานถึงจากครั้งอดีตจนถึงปัจจุบันของชาวอุบลราชธานีคือ ผ้ากาบบัว ชื่อนี้เป็นที่ถกเถียงและสงสัยกันมากถึงที่มาที่ไป ทำไมจึงเป็น กาบบัว ไม่ใช่ กลีบบัว และลายที่แตกต่างนั้นดูตรงส่วนใด? คำถามเหล่านี้ผู้เขียนได้รับการสอบถามอยู่เสมอจากเพื่อนพ้องต่างถิ่น ผู้มาเยือน และแม้แต่ลูกศิษย์ลูกหาที่สนใจใคร่รู้ จึงเป็นที่มาของเรื่องราว ที่จะกล่าวถึงตำนานและความภาคภูมิใจของชาวอุบลราชธานีในวันนี้ ผ้ากาบบัว เป็นชื่อผ้าที่ถูกกล่าวถึงในวรรณกรรมโบราณอีสานหลายเรื่อง คำว่า "กาบ" ในภาษาอีสานมีความหมายถึง เปลือกหุ้มชั้นนอกของต้นไม้บางชนิด เช่น เปลือกหุ้มต้นกล้วย เรียก กาบกล้วย หุ้มไม้ไผ่ เรียก กาบลาง กลีบหุ้มดอกบัว เรียก กาบบัว (สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ : ปรีชา พิณทอง) ผ้ากาบบัวอาจจะทอด้วยไหมหรือฝ้าย โดยมีเส้นยืน (Warh) ย้อมอย่างน้อยสองสีเป็นริ้ว ตามลักษณะ "ซิ่นทิว" ซึ่งมีความนิยมแพร่หลายแถบอุบลฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เส้นพุ่ง (Weft) จะเป็นไหมสีมับไม (ไหมปั่นเกลียวหางกระรอก) มัดหมี่และขิด ผ้ากาบบัว ส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการตัดเย็บเครื่องแต่งกายทั้งชายและหญิง ในสมัยโบราณนั้น ฝ่ายชายจะใช้ ผ้าปูม (ทอแบบมัดหมี่สำหรับนุ่งโจม) ผ้าวาหรือผ้าหางกระรอก (ทอด้วยเส้นมับไม) ผ้าโสร่ง (ทอคั่นเส้นมับไม) ผ้าสร้อยปลาไหล (ทอด้วยเส้นมับไม) ผ้าแพรอีโป้ (ผ้าขะม้า) ผ้าปกหัว (นาค) และผ้าแพรมน เป็นต้น สำหรับฝ่ายหญิง มีซิ่นชนิดต่างๆ คือ ซิ่นยกไหมคำ (ดิ้นเงิน - ดิ้นทอง) ซิ่นขิดไหม (ยกดอกด้วยไหม) ซิ่นหมี่ ซิ่นทิว ซิ่นไหมควบ ซิ่นลายล่อง นอกจากนี้ยังมีผ้าห่ม (ถือ) หรือผ้าเบี่ยง (สไบ) และผ้าตุ้มอีกหลายแบบ ผ้ากาบบัว ในปัจจุบันนี้ ได้รับการส่งเสริมให้เป็นสินค้าชั้นนำ OTOP โดยมีพรีเซนเตอร์ระดับประเทศสนใจเป็นแบบโดยไม่ตั้งใจ เพราะหลงไหลในลวดลายและสีสันของผ้ากาบบัว ตั้งแต่ดารา นางแบบ นางสาวไทยหลาย พ.ศ. ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายๆ กระทรวง รวมทั้งรัฐมนตรีทุกท่านในคณะรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร บางท่านถึงกับสั่งตัดพิเศษเพื่อใช้ประจำทุกสัปดาห์โดยไม่ซ้ำสี ซ้ำลายเลยทีเดียว

ที่มา: http://ubonratchathani.mots.go.th/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=1

ภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการทำมาหากิน

แม้วิถีชีวิตของชาวบ้านเมื่อก่อนจะดูเรียบง่ายกว่าทุกวันนี้ และยังอาศัยธรรมชาติและแรงงานเป็นหลักในการทำมาหากิน แต่พวกเขาก็ต้องใช้สติปัญญาที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้เพื่อจะได้อยู่รอด ทั้งนี้เพราะปัญหาต่างๆ ในอดีตก็ยังมีไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวมีสมาชิกมากขึ้น จำเป็นต้องขยายที่ทำกิน ต้องหักร้างถางพง บุกเบิก พื้นที่ทำกินใหม่ การปรับพื้นที่ปั้นคันนาเพื่อทำนาซึ่งเป็นงานที่หนัก การทำไร่ทำนา ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์และดูแลรักษาให้เติบโตและได้ผล เป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถ การจับปลาล่าสัตว์ก็มีวิธีการ บางคนมีความ สามารถมาก รู้ว่าเวลาไหนที่ใดและวิธีใดจะจับปลาได้ดีที่สุด คนที่ไม่เก่งก็ต้องใช้เวลานานและได้ปลาน้อย การล่าสัตว์ก็เช่นเดียวกัน
การจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ก็เป็นความรู้ความสามารถที่มีมาแต่โบราณ คนทางภาคเหนือรู้จักบริหารน้ำเพื่อการเกษตรและเพื่อการบริโภคต่างๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัดแบ่งปันน้ำกันตามระบบประเพณีที่ สืบทอดกันมา มีหัวหน้าที่ทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้ำตามสัดส่วนและตามพื้นที่ทำกิน นับเป็นความรู้ที่ทำให้ชุมชนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ใกล้ลำน้ำ ไม่ว่าต้นน้ำหรือปลายน้ำ ได้รับการแบ่งปันน้ำอย่างยุติธรรม ทุกคนได้ประโยชน์และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ชาวบ้านรู้จักการแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให้กินได้นาน การดองการหมัก เช่น ปลาร้า น้ำปลา ผักดอง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ปลาแห้ง เนื้อแห้ง การแปรรูปข้าวก็ทำได้มากมายนับร้อยชนิด เช่น ขนมต่างๆ แต่ ละพิธีกรรมและแต่ละงานบุญประเพณี มีข้าวและขนมในรูปแบบไม่ซ้ำกัน ตั้งแต่ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอื่นๆ ซึ่งยังพอมีให้เห็นอยู่จำนวนหนึ่ง ในปัจจุบันส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนมาเป็นการผลิตเพื่อขาย หรือเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน

ที่มา : http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

เปิดตำนานเทศกาลสารทจีน

เทศกาลสารทจีนตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ชาวจีนเรียกเทศกาลนี้ว่า เทศกาลวิญญาณพเนจร มีประมาณ 1 เดือน และเป็นเทศกาลทางพุทธศาสนาและเชื่อว่าช่วงนี้ประตูนรกจะเปิดให้ภูตผีปีศาจ ออกไปข้างนอก เพื่อเที่ยวเตร่กลับบ้านหาญาติยังโลกมนุษย์ วิญญาณเหล่านี้จะเป็นวิญญาณพเนจร มีนิสัยไม่ค่อยดีไม่มีบ้านเรือนอาศัยอยู่ เทศกาลนี้ชาวบ้านจะพากันจุดธูปให้อาหารและเงินเพื่อเซ่นไหว้ให้วิญญาณตามริมถนน ระหว่างเทศกาลนี้ผู้เฒ่าผู้แก่จะไม่ออกนอกบ้านหลังเวลาค่ำมืด
การไหว้สารทจีนจะมีการไหว้ขนมเข่ง ขนมเทียนเป็นการไหว้เจ้าที่กับไหว้บรรพบุรุษและถือโอกาสไหว้ต้นตระกูลจีน หรือคนจีนที่เข้ามาเมืองไทยรุ่นบุกเบิกแล้วเสียชีวิตโดยไม่มีลูกหลานสืบสกุล จึงไม่มีคนไหว้ บางครั้งคนจีนจะไหว้ 3 ชุด คือการไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้ต้นตระกูลจีนการไหว้ก็จะมีขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง คนที่มีฐานะหน่อยก็จะไหว้ด้วยเป็ด ไก่ หมู ตับ ปลา และกับข้าวอีกหลายอย่าง การไหว้เจ้าที่จะต้องไหว้ก่อนในตอนาเผากระดาษเงินกระดาษทองจนเรียบร้อย สาย ๆ จะจัดโต๊ะไหว้บรรพบุรุษ

ที่มา: http://www.hilunch.com/

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ

น้ำหมักชีวภาพเมื่อนำไปใช้ในด้านกสิกรรม จะช่วยปรับสภาพความเป็น กรด - ด่างให้เป็นกลางในดินและน้ำ ช่วยแก้ปัญหาจากแมลงศัตรูพืช และโรคระบาดต่าง ๆ ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำ และให้อากาศผ่านได้อย่างเหมาะสมช่วยย่อยสะลายอินทรีย์วัตถุให้เป็นอาหารของพืช พืชจะดูดซึมไปใช้ได้เลย และช่วยให้ผลผลิตคงทน มีคุณภาพสูง สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานเมื่อนำน้ำหมักชีวภาพไปใช้ทางการประมง จะช่วยปรับสภาพน้ำให้เป็นกลางควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา กุ้ง กบได้ และช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้
ถ้านำไปใช้ในด้านปศุสัตว์จะทำให้มูลสัตว์ไม่มีกลิ่นเหม็น สุขภาพของสัตว์จะแข็งแรงและปลอดโรค คอกสัตว์จะไม่มีกลิ่นเหม็น ช่วยบำบัดน้ำเสียจากฟาร์มปศุสัตว์ ทำให้อัตราการตายต่ำลง และผลผลิตสูงขึ้น
เมื่อนำน้ำหมักชีวิภาพไปประยุกต์ใช้ในด้านรักษาสิ่งแวดล้อม จะช่วยกำจัดกลิ่นและย่อยสลายตะกอนในส้วม ทำให้ส้วมไม่เต็ม ทำความสะอาดพื้นห้องการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถานประกอบการทั่ว ๆ ไป ปรับสภาพอากาศภายในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ให้สดชื่นกำจัดกลิ่นอับชื้นต่าง ๆ ได้นอกจากนี้ยังให้ฉีดพ่นกองขยะเพื่อลดกลิ่นและปริมาณของกองขยะให้เล็กลงรวมทั้งจำนวนแมลงวันด้วย

ที่มา: http://www.clinictech.most.go.th

เทคนิคในการทำขนมหวาน

การทำขนมหวานไทยให้ดี ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง คือ ต้องมีใจรัก ชอบทำมีความอดทนตั้งใจ มีความพิถีพิถันในการประดิษฐ์ให้ขนมมีรูปร่างที่น่ารับประทาน ขนมหวานไทยบางชนิดต้องฝึกทำหลาย ๆ ครั้ง จึงจะได้ลักษณะที่ดี ประสบการณ์ และความชำนาญในการทำบ่อย ๆ ผู้ประกอบขนมหวานไทย จะประสบความ สำเร็จในการทำ การทำขนมหวานไทยของคนรุ่นก่อนๆ จะใช้การกะส่วนผสมจากความเคยชินที่ทำบ่อย ๆ สัดส่วน ของขนมจะไม่แน่นอน และยังเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้กันเฉพาะภายในครอบครัวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันขนม หวานไทยได้วิวัฒนาการให้ทัดเทียมกับขนมนานาชาติ มีสูตรที่แน่นอน มีสัดส่วนของส่วนผสม และวิธีทำที่ บอกไว้อย่างชัดเจน ผู้ประกอบขนมหวานไทยเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานในการชั่ง ตวง มีถ้วยตวง ช้อนตวง ใช้ภาชนะให้ถูกต้องกับชนิดของอาหาร เช่น การกวนจะใช้กระทะทองดีกว่าหม้อ หรือกระทะเหล็ก การทอดใช้กระทะเหล็กดีกว่ากระทะทอง ทำตามตำรับวิธีทำขั้นตอน อุณหภูมิที่ใช้ในการทำ ตลอดจนเลือกเครื่อง ปรุงที่ใหม่

ที่มา: http://pirun.ku.ac.th

ฟากฟ้า...ฝั่งทะเล

เมื่อตำนานความรักเหงา - เหงากับกลายเป็นเรื่องเล่า...ทะเล ฟากฟ้าสิ่งทั้งสองเคยครองรักกัน...เมื่อนานมาแต่ด้วยความอิจฉาของพสุธา...จับแยกกันฟากฟ้า และ ท้องทะเล...ยังคงเป็นสีครามแสดงออกถึงความรักที่งอกงามในใจนั้นห่างกันสุดฟากฟ้า...ฝั่งทะเล...ยังมั่นคงผูกพัน" รัก " ที่จริงใจนั้น...อย่าวัดกันที่ระยะทางเมื่อฝั่งทะเล...คิดถึงซึ่งฟ้าไกลน้ำจะก่อระเหยเป็นไอแทนความอ้างว้างฟากฟ้า...รับรู้ได้ถึงสายใยบาง - บางสายฝนไหลมาเป็นทาง...ลบความอ้างว้างให้ทะเลถึงแม้เรื่องจริงเส้นขนาน...ไม่เคยบรรจบแต่รักของเราไม่ติดลบ...ไม่หันเหอย่างน้อยยังเคียงคู่...ฟากฟ้า...ฝั่งทะเลแค่นิทานกล่อมเห่...แต่ มั่นคง ไม่ไขว้เขว...ดั่งใจคน


ที่มา: http://www.thalae.com/

วีระบุรุษของจังหวัดอุบลราชธานี

( Ubon Ratchathani History )
............... ..ณ ริมฝั่งแม่น้ำมูลอันเป็นสายน้ำที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยง บรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่ตามป่าดงในแถบนั้นเมื่อราว พ.ศ. 2310 เจ้าพระวอและเจ้าพระตาสองพี่น้องเสนาบดีเมืองเฉวียงจันทน์ได้เกิดเหตุขัดแย้งกับพระเจ้าศิริบุญสาร ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ จึงได้ชักชวนไพร่พลอพยพข้ามฝั่งแม่น้ำโขงหนีมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหนองบัวลำภูและได้สร้างป้อมกำแพงเมืองเสริมสร้างความมั่นคงเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง และได้ขนานนามเมืองนี้ว่า "นครเขื่อนขันฑ์กาบแก้วบัวบาน" (บางท่านเรียกว่าหนองบัวลำภู ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดอุดรธานี แต่ปัจจุบัน เป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) เมื่อความทราบถึงพระเจ้าศิริบุญสารก็กล่าวหาว่า เจ้าพระวอกับเจ้าพระตา คิดการกบฎจึงได้ส่งกองทัพข้ามมาปราบ แต่ก็ถูกไพร่พลของเจ้าพระวอและเจ้าพระตาตีแตกกลับไปทุกครั้ง และทำการสู้รบกันอยู่ถึง3 ปี ฝ่ายเจ้าพระวอกับเจ้าพระตาเห็นว่า กำลังของตนมีน้อย จึงได้ไปขอกำลังของกองทัพพม่าให้มาช่วยแต่พม่ากลับส่งกำลังไปช่วย พระเจ้าศิริบุญสารตีเมืองหนองบัวลำภูหรือนครเขื่อนขันฑ์กาบแก้วบัวบานแตก ทำให้เจ้าพระตาเสียชีวิตในที่รบ ส่วนเจ้าพระวอกับไพร่พลที่เหลือก็แตกหนี ลงไปขอพึ่งเจ้านครจำปาศักดื์

ที่มา: http://www.geocities.com/por_jew/country.html

หนังสือใหม่ ที่อยากให้คนไทยรู้จัก

หนังสือใหม่ ที่อยากให้คนไทยอ่าน
“จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2546 พบว่าคนไทยอ่านหนังสือเพียง 7 บรรทัดต่อคนต่อวัน หรือเฉลี่ย 5 เล่ม ต่อคนต่อปี ขณะที่สิงคโปร์อ่าน 17 เล่ม สหรัฐอเมริกา 50 เล่ม ปี 2550 คนไทยมีนิสัยรักการอ่านเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ทั้งนี้ยังไม่มีการตีค่าออกมาว่า คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นวันละกี่บรรทัด หรือปีละกี่เล่ม แต่ตั้งเป้าไว้ที่ 12 บรรทัดต่อวัน”
สุดสัปดาห์เห็นด้วยว่าการอ่านหนังสือคือประตูเปิดสู่โลกกว้าง จึงได้คัดเลือกหนังสือออกใหม่ ในหมวดต่างๆ มาให้ ทั้งนี้เพื่อช่วยกันทุบสถิติ แม้จะไม่ทันอเมริกา แต่ชนะสิงคโปร์ก็ยังดี (เนอะ)
จอมโจรหนังสือ (The Book Thief) โดย มาร์กัส ชูชัค ผู้แปล บีจา

ที่มา: http://www.campus.snook.com

กล้วยไม้ไพร


กล้วยไม้อยู่ในแดนดง แต่ก็คงยังมีกลิ่นหอม
เมื่อขาดคนถนอม ถึงจะมีกลิ่นหอมก็คงเป็นดอกไม้ไพร
กล้วยไม้ในป่าน่าแปลก กิ่งก้านแตกช่อดอกอยู่ไสว
โชยกลิ่นมาแสนไกล แต่ก็ไม่มีใครจะได้ดูหรือได้ชม
พักพิงอยู่ตามกิ่งไม้ อาศัยน้ำค้างและสายลม
เลี้ยงตัวไว้รอคนชม เมื่อโชคอุ้มสมก็คงจะได้ดี
วาสนาบุญพามาส่ง ได้ออกพ้นจากดงทั้งกลิ่นและสี
คอยมานานหลายปี หากบุญของเจ้ามีคงได้ดีเป็นสุขสบาย

ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง
ที่มา: http://thaigoodview.com

ขิงไทย

ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร ใช้ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน เพราะในเหง้าขิงแก่ มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย GINGEROL และ SHOGAOL แก้อาการท้องอืดเฟ้อ ขับลม ลดอาการไอ และระคายคอ จากการมีเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ขับน้ำนม แก้อาการเมารถเมาเรือ แก้บิด บำรุงธาตุ ช่วยในด้านการไหลเวียนของโลหิต ช่วยลดความดัน ช่วยลดคลอเลสเตอ รอล ช่วยลดการอักเสบ ช่วยแก้ปวด ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มักมีอาการเมายาสลบให้จิบน้ำขิงเข้มข้นสักครึ่งช้อนชา จะช่วยแก้อาการเมายาได้:
จีนเป็นชนชาติเก่าแก่ ที่มีการใช้ประโยชน์ จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณ จัดขิงเป็นพืชรส เผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ

ที่มา: http://meeboard.com

ประโยชน์ของไมยราบ

แก้ไอ ขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง แก้ระบบการย่อยอาหารของเด็กไม่ดี บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้ตาสว่าง ระงับประสาท แก้บิด ขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดเวลามีประจำเดือน ถ้าไข้ขนาดสูงมากๆจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แก้ริดสีดวงทวารรสขมเล็กน้อย ฝาด ปวดข้อ กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง
ต้น ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว ขับโลหิต
ใบ แก้เริม งูสวัด โรคพุพอง ไฟลามป่า
ทั้งต้น ขับปัสสาวะแก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว แก้ไข้ออกหัด แก้นอนไม่หลับ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ สงบประสาท แก้ลำไส้อักเสบ แก้เด็กเป็นตานขโมย แก้ผื่นคัน แก้ตาบวม

ที่มา : http://www.school.net.th

แหล่งท่องเที่ยวแห่งปี

ในเวิ้งแม่น้ำโขงมหานทีแห่งชีวิต ที่ อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี มีความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างไว้ ในนามของ "สามพันโบก" สามพันโบก เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง ในช่วงฤดูน้ำหลากแก่งหินทั้งหลายจะถูกฟูมฟักไว้ด้วยสายน้ำ เมื่อแรงน้ำวนกัดเซาะ จากแก่งหินกลายเป็นแอ่งเล็ก ใหญ่ มากมายนับไม่ถ้วน เพราะนับไม่ถ้วนมีหลายพันแอ่งจึงเรียกกันว่า "สามพันโบก" โบก หมายถึง หลุม แอ่ง บ่อ ในที่นี้คือ บ่อน้ำลึกในแก่งหินใต้ลำน้ำโขง เป็นภาษาของลาวที่มักนิยมเรียกกัน หรืออีกสมญานามหนึ่ง ที่ได้รับขนานนามคือ 'แกรนแคนยอนน้ำโขง' พอสิ้นฤดูน้ำหลาก โบกจำนวนมากมาย จะได้เวลาเผยความงามกลางลำน้ำโขงให้ได้ประจักษ์ อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำหลายพันปี สามพันโบกมีความกว่างใหญ่ถึง 10 ตร.กม. แฝงไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่เรียงรายเชื่อมต่อกันหลายแห่ง เริ่มจาก หาดสลึง บริเวณบ้านสองคอนเป็นหาดทรายขาวละเอียดทอดยาวไปตลอดแนวแม่น้ำโขง

ที่มา : http://www.gvidebon.com

สวนสัตว์เชียงใหม่

สวนสัตว์เชียงใหม่ อำเภอเมือง จ.เชียงใหม่
ตั้งอยู่ที่ถนนห้วยแก้ว ใกล้กับสวนรุกขชาติ เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ได้รับการจัดสภาพอย่างดี บริเวณกว้างขวาง มีบรรยากาศร่มรื่น และมีสัตว์อยู่มากกว่า 2,000 ชนิดทั้งที่มีอยู่ในเมืองไทยและนำมาจากต่างประเทศรวมทั้งโคอาล่า สัตว์สำคัญของประเทศออสเตรเลียลักษณะคล้ายหมีตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งนำมาให้ชมเมื่อธันวาคม 2549 ภายในสวนสัตว์ยังมีอุทยานสัตว์น้ำ 700 ปี ศรีนครพิงค์ สวนนกเพนกวิน และสวนนกฟิ้นซ์ซึ่งเป็นนกขนาดเล็กที่มีสีสันสวยงาม ที่พลาดชมไม่ได้ก็คือ หมีแพน ด้า ช่วง ช่วง และ หลินฮุ้ย อันเป็นทูตสันตวไมตรีจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่ง ช่วงช่วง และ หลินฮุ้ย จะอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่เป็นเวลา 10ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ถึง 2557

ที่มา : http://www.camptour.net.com

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

อุทยานแห่งชาติสิรินาถ (หาดในยาง)

ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2524 อยู่ห่างจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร ตามเส้นทางถนนเทพกษัตรี ผ่านสี่แยกอำเภอถลาง ตรงไปเมื่อถึงหลักกิโลเมตร 21-22 จะมีทางแยกด้านซ้ายเข้าไป 10 กิโลเมตร หรือจะไปทางแยกเข้าสนามบินเลี้ยวซ้าย 2 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 56,250 ไร่ เป็นหาดทรายที่มีความยาวต่อเนื่องกันถึง 13 กิโลเมตร โดยเริ่มจาก
หาดในทอน ใช้เส้นทางไปอุทยานฯ เลี้ยวซ้ายที่หลักกิโลเมตร 21-22 เมื่อถึงทางแยกเข้าบ้านสาคู เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 3 กิโลเมตร หาดในทอน เป็นเวิ้งอ่าวที่งามแปลกตาทอดโค้งจากตัวเกาะเป็นที่กำบังคลื่นลมได้อย่างดี และเป็นหาดที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการเล่นน้ำ
หาดในยาง เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ เป็นหาดที่มีสวนสนร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนและเล่นน้ำ นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังขนาดใหญ่เป็นที่อาศัยของสัตว์ทะเลนานาชนิด โดยเฉพาะเต่าทะเลซึ่งจะขึ้นมาวางไข่บนหาด ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ แต่ปัจจุบันเต่าทะเลมีจำนวนลดลงมากจนแทบจะไม่เห็นเต่าขึ้นมาวางไข่อีกเลย
หาดไม้ขาว หรือหาดสนามบิน ไปตามเส้นทางถนนเทพกษัตรีผ่านทางแยกเข้าสนามบินตรงไปทางสะพาน
สารสินจะมีทางแยกด้านซ้ายมือ มีป้ายบอกทางเข้าหาดไม้ขาว เลี้ยวซ้ายไป 3.5 กิโลเมตร ก็จะถึงหาดไม้ขาว ซึ่งเป็นหาดที่มีจั๊กจั่นทะเลและเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่เช่นเดียวกับหาดในยาง
หาดทรายแก้ว เป็นหาดทรายขาวทอดยาวขนานกับทิวต้นสนอยู่ถัดจากหาดไม้ขาวไปจนถึงสะพานสารสิน นับเป็นหาดที่อยู่เหนือสุดของเกาะภูเก็ต

ที่มา : http://phukettour.org.com